บทความที่น่าสนใจ

 

การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีจริงหรือไม่?

จำนวนผู้เข้าชม: 165

       ความเป็นมาของการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้เริ่มทำสำเร็จในมนุษย์เป็นครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อนโดยนายแพทย์คริสเตียน บาร์นาท ที่เมืองแคบทชาวประเทศแอฟริกาใต้ในปีถัดมาก็มีการทำกันในประเทศสหรัฐอเมริกาและในบางประเทศในทวีปยุโรปแต่ในระยะแรกนั้นผลการผ่าตัดไม่เป็นที่พอใจจึงมีการผ่าตัดชนิดนี้น้อยมากจนกระทั่ง 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้นประกอบกับได้มีการใช้ยากดภูมิต้านทานที่ดีขึ้นทำให้ผลระยะแรกระยะยาวดีผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้มากและด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถทำงานออกกำลังกายได้ใกล้เคียงกับคนปกติผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่รอดหลังผ่าตัดเป็นเวลาอย่างน้อยนิด 1 ปีได้โดยเฉลี่ยถึงประมาณร้อยละ 60 และส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่นานกว่า 5 ปีขึ้นไปซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้เป็นโรคหัวใจระยะสุดท้ายหากไม่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจใหม่แทบทั้งหมดจะเสียชีวิตภายในเวลาต่อมาด้วยเหตุนี้ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาจึงมีการฟื้นฟูการผ่าตัดนี้กันในศูนย์รักษาหัวใจหลายๆแห่งของโลกในขณะนี้ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปถือว่าการผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดมาตรฐานจึงได้มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจดังกล่าวมานี้เกิดขึ้นในประเทศไทยการผ่าตัดเป็นที่พอใจหัวใจใหม่ทำหน้าที่ได้ดีผู้ป่วยฟื้นจากการผ่าตัดอยู่ในสภาพดีมาก 3 วันหลังการผ่าตัดผู้ป่วยลุกขึ้นนั่งพูดคุยได้รับประทานอาหารได้ดีอาการทั่วไปแข็งแรงกว่าก่อนการผ่าตัดมาก

       

การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ สู่หัวใจดวงใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจหรือการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจคือการผ่าตัดนำหัวใจใหม่ใส่แทนที่หัวใจหัวใจเดิมของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้ายที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอาจฟังดูน่ากลัว แต่เป็นการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จสูงโดยผู้ป่วยมีอัตรารอดชีวิตมากถึง 85 – 90 % ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้หากไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจะเสียชีวิตภายในเวลาเพียง 1-2 ปี

เป้าหมายของการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจนอกจากเป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติเหมือนคนสุขภาพดีทั่วไป

ทำไมถึงต้องเปลี่ยนหัวใจ
       การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นสุดที่หัวใจเสียหายอย่างถาวรหรืออ่อนแรงจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่นำไปสู่การเปลี่ยนหัวใจได้แก่
โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy)
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease)
โรคลิ้นหัวใจที่ปล่อยไว้จนกล้ามเนื้อหัวใจเสียหาย
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

 

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการเปลี่ยนหัวใจ
    การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจไม่ได้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้ายทุกคน
   อายุมากและร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะฟื้นตัวได้ดีหลังการผ่าตัด
    มีภาวะติดเชื้อ
    เป็นโรคมะเร็งของอวัยวะต่างๆ
    มีอวัยวะอื่นๆนอกจากหัวใจหัวใจล้มเหลวหลายอวัยวะ
   มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
   มีปัญหาทางจิตหรือบุคลิกภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการดูแลตัวเองและการติดตามการรักษาหลังผ่าตัด
    ภาวะเสี่ยงอื่นๆ เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดีหรือโรคเส้นเลือดอุดตันตามร่างกาย

   
ก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจต้องทำอย่างไรบ้าง
             การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นการผ่าตัดใหญ่ แพทย์จำเป็นต้องประเมินสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจการผ่าตัดจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างของการประเมินสภาพร่างกาย เช่น
  การตรวจเลือด
  การตรวจภูมิคุ้มกัน
   การตรวจการทำงานของไต
  การตรวจการทำงานของหัวใจและปอด
   การตรวจวินิจฉัยทางรังสี เช่น เอกซเรย์ ซีที สแกนหรือเอ็มอาร์ไอ
   การตรวจประเมินสภาวะทางจิตและสภาพสมอง

การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทำได้อย่างไร
             การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจประกอบด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อน หลังจากที่ได้อวัยวะจากผู้บริจาคซึ่งมีกลุ่มเลือดที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ทีมศัลยแพทย์จะผ่าตัดนำหัวใจออกจากร่างกายของผู้บริจาคและหยุดหัวใจด้วยน้ำยาพิเศษ ในขณะที่ทีมศัลยแพทย์อีกทีมหนึ่งจะวางยาสลบ ใส่เครื่องช่วยหายใจให้แก่ผู้ป่วยและเปิดทรวงอกของผู้ป่วยรอไว้ เมื่อหัวใจผู้บริจาคมาถึง ศัลยแพทย์จะนำหัวใจดวงเก่าของผู้ป่วยออกเพื่อนำหัวใจดวงใหม่ใส่เข้าไปทดแทนและปล่อยเลือดไปเลี้ยงหัวใจเพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้งหนึ่ง


 
หลังการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผู้ป่วยจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 สัปดาห์ โดยแพทย์จะให้ข้อมูลในการดูแลตัวเองต่อไป เช่น
       การรับประทานยากดภูมิอย่างเคร่งครัดตามที่แพทย์แนะนำ
        การดูแลรักษาความสะอาดทั้งทางด้านอาหารและการใช้ชีวิต
      การมาพบแพทย์เพื่อตรวจระดับยาและตรวจชิ้นเนื้อตามนัดหมาย
      การออกกำลังกายที่ควรทำและไม่ควรทำ
      การตระหนักถึงอาการติดเชื้อและอาการร่างกายต่อต้านอวัยวะ


ความเสี่ยงที่พบได้มีดังนี้
     หัวใจทำงานไม่ดีทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
       ร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่
     การติดเชื้อ
    โรคไตหรือภาวะไตล้มเหลว
     ความดันโลหิตสูง
    ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
      โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งผิวหนังและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน

^